วันพุธที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2551


"กินปลา" ดีกว่า "น้ำมันปลา" ป้องกันความเสี่ยง "โรคหัวใจ"


สถาบันอาหาร สุขภาพ และโภชนาการมนุษย์แห่งนิวซีแลนด์ แนะนำว่า ควรจะกินปลาแซลมอนโดยตรงจะได้ คุณประโยชน์มากกว่ากินน้ำมันปลาแคปซูล
นักวิจัยของสถาบันได้ศึกษาพบว่า แม้ว่าการกินปลากับกินแคปซูลน้ำมันปลาจะได้ประโยชน์พอๆกัน ช่วยเพิ่มระดับของสารโอเมกา-3 แต่การกินปลายังได้คุณประโยชน์ ช่วยให้เลือดมีความเข้มข้นของเซเลเนียมที่เป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากขึ้นอีกด้วย ผู้ช่วยศาสตราจารย์เวลมา สโตนเฮาส์ หัวหน้าคณะนักวิจัย ยังแจ้งด้วยว่า เซเลเนียมนอกจากมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงของการเป็น มะเร็งแล้ว ยังเชื่อว่ามันยังช่วยขจัดความเสี่ยงของโรคหัวใจอีกด้วย.

วันอาทิตย์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2551

108 วิธีในการประหยัดพลังงาน

การใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า ก็เป็นส่วนสำคัญในการช่วยโลกร้อนนะคะ เพราะฉะนั้นเรามาดูวิธีง่ายๆ ในการประหยัดพลังงาน กันดีกว่า ค่ะ เพื่อที่เราจะได้ช่วยกันประหยัดพลังงาน เป็นอีกวิธีในการช่วยโลกของเรา

-------- 108 วิธี ในการประหยัดพลังงาน --------

วิธีประหยัดน้ำมัน
1. ตรวจตราลมยางเป็นประจำ เพราะยางที่อ่อนเกินไปนั้น ทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันมากกว่ายางที่มีปริมาณลมยางตามที่มาตรฐานกำหนด
2. สับเปลี่ยนยาง ตรวจตั้งศูนย์ล้อตามกำหนด จะช่วยประหยัดน้ำมันเพิ่มขึ้นอีกมาก
3. ดับเครื่องยนต์ทุกครั้งเมื่อต้องจอดรถนานๆ แค่จอดรถติดเครื่องทิ้งไว้ 10 นาที ก็เสียน้ำมันฟรีๆ 200 ซีซี
4. ไม่ควรติดเครื่องทิ้งไว้เมื่อจอดรถ ให้ดับเครื่องยนต์ทุกครั้งที่ขึ้นของ ลงของ หรือคอยคน เพราะการติดเครื่องทิ้งไว้ เปลืองน้ำมันและสร้างมลพิษอีกด้วย
5. ไม่ออกรถกระชากดังเอี๊ยด การออกรถกระชาก 10 ครั้ง สูญเสียน้ำมันไปเปล่าๆ ถึง 100 ซีซี น้ำมันจำนวนนี้รถสามารถวิ่งได้ไกล700 เมตร
6. ไม่เร่งเครื่องยนต์ตอนเกียร์ว่างอย่างที่เราเรียกกันติดปากว่าเบิ้ลเครื่องยนต์ การกระทำดังกล่าว 10 ครั้ง สูญเสียน้ำมันถึง 50 ซีซี ปริมาณน้ำมันขนาดนี้รถวิ่งไปได้ตั้ง 350 เมตร
7. ตรวจตั้งเครื่องยนต์ตามกำหนด ควรตรวจเช็คเครื่องยนต์สม่ำเสมอ เช่น ทำความสะอาดระบบไฟจุดระเบิด เปลี่ยนหัวคอนเดนเซอร์ ตั้งไฟแก่อ่อนให้พอดี จะช่วยประหยัดน้ำมันได้ถึง 10%
8. ไม่ต้องอุ่นเครื่อง หากออกรถและขับช้าๆ สัก 1-2 กม. แรกเครื่องยนต์จะอุ่นเอง ไม่ต้องเปลืองน้ำมันไปกับการอุ่นเครื่อง
9. ไม่ควรบรรทุกน้ำหนักเกินพิกัด เพราะเครื่องยนต์จะทำงานตามน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น หากบรรทุกหนักมาก จะทำให้เปลืองน้ำมันและสึกหรอสูง
10. ใช้ระบบการใช้รถร่วมกัน หรือคาร์พูล (Car pool) ไปไหนมาไหน ที่หมายเดียวกัน ทางผ่านหรือใกล้เคียงกัน ควรใช้รถคันเดียวกัน
11. เดินทางเท่าที่จำเป็นจริงๆ เพื่อประหยัดน้ำมัน บางครั้งเรื่องบางเรื่องอาจจะติดต่อกันทางโทรศัพท์ก็ได้ ประหยัดน้ำมันประหยัดเวลา
12. ไปซื้อของหรือไปธุระใกล้บ้านหรือใกล้ๆ ที่ทำงาน อาจจะเดินหรือใช้จักรยานบ้าง ไม่จำเป็นต้องใช้รถยนต์ทุกครั้ง เป็นการออกกำลังกายและประหยัดน้ำมันด้วย
13. ก่อนไปพบใคร ควรโทรศัพท์ไปถามก่อนว่าเขาอยู่หรือไม่ จะได้ไม่เสียเที่ยว ไม่เสียเวลา ไม่เสียน้ำมันไปโดยเปล่าประโยชน์
14. สอบถามเส้นทางที่จะไปให้แน่ชัด หรือศึกษาแผนที่ให้ดีจะได้ไม่หลง ไม่เสียเวลา ไม่เปลืองน้ำมันในการวนหา
15. ควรใช้โทรศัพท์ โทรสาร ไปรษณีย์ อินเตอร์เน็ท หรือใช้บริการส่งเอกสาร แทนการเดินทางด้วยตัวเอง เพื่อประหยัดน้ำมัน
16. ไม่ควรเดินทางโดยไม่ได้วางแผนการเดินทาง ควรกำหนดเส้นทาง และช่วงเวลาการเดินทางที่เหมาะสมเพื่อประหยัดน้ำมัน
17. หมั่นศึกษาเส้นทางลัดเข้าไว้ ช่วยให้ไม่ต้องเดินทางยาวนานไม่ต้องเผชิญปัญหาจราจร ช่วยประหยัดทั้งเวลาและประหยัดน้ำมัน
18. ควรบับรถด้วยความเร็วคงที่ เลือกขับที่ความเร็ว 70-80กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 2,000-2,500 รอบเครื่องยนต์ ความเร็วระดับนี้ ประหยัดน้ำมันได้มากกว่า
19. ไม่ควรขับรถลากเกียร์ เพราการลากเกียร์ต่ำนานๆ จะทำให้เครื่องยนต์หมุนรอบสูงกินน้ำมันมาก และเครื่องยนต์ร้อนจัดสึกหรอง่าย
20. ไม่ติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งที่จะทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักขึ้นเช่น การทำให้เกิดการต้านลมขณะวิ่ง หรือทำให้เครื่องยนต์ ไม่สามารถถ่ายเทความร้อนได้ดี
21. ไม่ควรใช้น้ำมันเบนซินที่ออกเทนสูงเกินความจำเป็นของเครื่องยนต์ เพราะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานโดยเปล่าประโยชน์
22. หมั่นเปลี่ยนน้ำมันเครื่อง ไส้กรองน้ำมันเครื่อง ไส้กรองอากาศตามระยะเวลาที่เหมาะสม เพื่อประหยัดน้ำมัน
23. สำหรับเครื่องยนต์แบบเบนซิน ควรเลือกเติมน้ำมันเบนซินให้ถูกชนิด ถูกประเภท โดยเลือกตามค่าออกเทนที่เหมาะสมกับรถแต่ละยี่ห้อ (สังเกตจากฝาปิดถังน้ำมันด้านใน หรือรับคู่มือที่ปั้มน้ำมันใกล้บ้าน
24. ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องปรับอากาศตลอดเวลา ยามเช้าๆเปิดกระจกรับความเย็นจากลมธรรมชาติบ้างก็สดชื่นดี ประหยัดน้ำมันได้ด้วย
25. ไม่ควรเร่งเครื่องปรับอากาศในรถอย่างเต็มที่จนเกินความจำเป็นไม่เปิดแอร์แรงๆ จนรู้สึกหนาวเกินไป เพราะสิ้นเปลืองพลังงาน


วิธีประหยัดไฟฟ้า
26. ปิดสวิตช์ไฟ และเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อเลิกใช้งาน สร้างให้เป็นนิสัยในการดับไฟทุกครั้งที่ออกจากห้อง
27. เลือกซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ได้มาตรฐาน ดูฉลากแสดงประสิทธิภาพให้แน่ใจทุกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อ หากมีอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 ต้องเลือกใช้เบอร์ 5
28. ปิดเครื่องปรับอากาศทุกครั้งที่จะไม่อยู่ในห้องเกิน 1 ชั่วโมงสำหรับเครื่องปรับอากาศทั่วไป และ 30 นาที สำหรับเครื่องปรับอากาศเบอร์ 5
29. หมั่นทำความสะอาดแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศบ่อยๆ เพื่อลดการเปลืองไฟในการทำงานของเครื่องปรับอากาศ
30. ตั้งอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศที่ 25 องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่กำลังสบาย อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้น 1 องศา ต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้นร้อยละ 5-10
31. ไม่ควรปล่อยให้มีความเย็นรั่วไหลจากห้องที่ติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ตรวจสอบและอุดรอยรั่วตามผนัง ฝ้าเพดาน ประตูช่องแสง และปิดประตูห้องทุกครั้งที่เปิดเครื่องปรับอากาศ
32. ลดและหลีกเลี่ยงการเก็บเอกสาร หรือวัสดุอื่นใดที่ไม่จำเป็นต้องใช้งานในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ เพื่อลดการสูญเสีย และใช้พลังงานในการปรับอากาศภายในอาคาร
33. ติดตั้งฉนวนกันความร้อนโดยรอบห้องที่มีการปรับอากาศเพื่อลดการสูญเสียพลังงานจากการถ่ายเทความร้อนเข้าภายในอาคาร
34. ใช้มูลี่กันสาดป้องกันแสงแดดส่องกระทบตัวอาคาร และบุฉนวนกันความร้อนตามหลังคาและฝาผนังเพื่อไม่ให้เครื่องปรับอากาศทำงานหนักเกินไป
35. หลีกเลี่ยงการสูญเสียพลังงานจากการถ่ายเทความร้อนเข้าสู่ห้องปรับอากาศ ติดตั้งและใช้อุปกรณ์ควบคุมการเปิด-ปิดประตูในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ
36. ควรปลูกต้นไม้รอบๆ อาคาร เพราะต้นไม้ขนาดใหญ่ 1 ต้นให้ความเย็นเท่ากับเครื่องปรับอากาศ 1 ตัน หรือให้ความเย็นประมาณ 12,000 บีทียู
37. ควรปลูกต้นไม้เพื่อช่วยบังแดดข้างบ้านหรือเหนือหลังคา เพื่อเครื่องปรับอากาศจะไม่ต้องทำงานหนักเกินไป
38. ปลูกพืชคลุมดิน เพื่อช่วยลดความร้อนและเพิ่มความชื้นให้กับดิน จะทำให้บ้านเย็น ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศเย็นจนเกินไป
39. ในสำนักงาน ให้ปิดไฟ ปิดเครื่องปรับอากาศ และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไม่จำเป็น ในช่วงเวลา 12.00-13.00 น. จะสามารถประหยัดค่าไฟฟ้าได้
40. ไม่จำเป็นต้องเปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเวลาเริ่มงาน และควรปิดเครื่องปรับอากาศก่อนเวลาเลิกใช้งานเล็กน้อย เพื่อประหยัดไฟ
41. เลือกซื้อพัดลมที่มีเครื่องหมายมาตรฐานรับรอง เพราะพัดลมที่ไม่ได้คุณภาพ มักเสียง่าย ทำให้สิ้นเปลือง
42. หากอากาศไม่ร้อนเกินไป ควรเปิดพัดลมแทนเครื่องปรับอากาศ จะช่วยประหยัดไฟ ประหยัดเงินได้มากทีเดียว
43. ใช้หลอดไฟประหยัดพลังงาน ใช้หลอดผอมจอมประหยัดแทนหลอดอ้วน ใช้หลอดตะเกียบแทนหลอดไส้ หรือใช้หลอดคอมแพคท์ฟลูออเรสเซนต์
44. ควรใช้บัลลาสต์ประหยัดไฟ หรือบัลลาสต์อิเล็กโทรนิกคู่กับหลอดผอมจอมประหยัด จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการประหยัดไฟได้อีกมาก
45. ควรใช้โคมไฟแบบมีแผ่นสะท้อนแสงในห้องต่างๆ เพื่อช่วยให้แสงสว่างจากหลอดไฟ กระจายได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้ไม่จำเป็นต้องใช้หลอดไฟฟ้าวัตต์สูง ช่วยประหยัดพลังงาน
46. หมั่นทำความสะอาดหลอดไฟที่บ้าน เพราะจะช่วยเพิ่มแสงสว่างโดยไม่ต้องใช้พลังงานมากขึ้น ควรทำอย่างน้อย 4 ครั้งต่อปี
47. ใช้หลอดไฟที่มีวัตต์ต่ำ สำหรับบริเวณที่จำเป็นต้องเปิดทิ้งไว้ทั้งคืน ไม่ว่าจะเป็นในบ้านหรือข้างนอก เพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า
48. ควรตั้งโคมไฟที่โต๊ะทำงาน หรือติดตั้งไฟเฉพาะจุด แทนการเปิดไฟทั้งห้องเพื่อทำงาน จะประหยัดไฟลงไปได้มาก
49. ควรใช้สีอ่อนตกแต่งอาคาร ทาผนังนอกอาคารเพื่อการสะท้อนแสงที่ดี และทาภายในอาคารเพื่อทำให้ห้องสว่างได้มากกว่า
50. ใช้แสงสว่างจากธรรมชาติให้มากที่สุด เช่น ติดตั้งกระจกหรือติดฟิล์มที่มีคุณสมบัติป้องกันความร้อน แต่ยอมให้แสงผ่านเข้าได้เพื่อลดการใช้พลังงานเพื่อแสงสว่างภายในอาคาร
51. ถอดหลอดไฟออกครึ่งหนึ่งในบริเวณที่มีความต้องการใช้แสงสว่างน้อย หรือบริเวณที่มีแสงสว่างพอเพียงแล้ว
52. ปิดตู้เย็นให้สนิท ทำความสะอาดภายในตู้เย็น และแผ่นระบายความร้อนหลังตู้เย็นสม่ำเสมอ เพื่อให้ตู้เย็นไม่ต้องทำงานหนักและเปลืองไฟ
53. อย่าเปิดตู้เย็นบ่อย อย่านำของร้อนเข้าแช่ในตู้เย็น เพราะจะทำให้ตู้เย็นทำงานเพิ่มขึ้น กินไฟมากขึ้น
54. ตรวจสอบขอบยางประตูของตู้เย็นไม่ให้เสื่อมสภาพ เพราะจะทำให้ความเย็นรั่วออกมาได้ ทำให้สิ้นเปลืองไฟมากกว่าที่จำเป็น
55. เลือกขนาดตู้เย็นให้เหมาะสมกับขนาดครอบครัว อย่าใช้ตู้เย็นใหญ่เกินความจำเป็นเพราะกินไฟมากเกินไป และควรตั้งตู้เย็นไว้ห่างจากผนังบ้าน 15 ซม.
56. ควรละลายน้ำแข็งในตู้เย็นสม่ำเสมอ การปล่อยให้น้ำแข็งจับหนาเกินไป จะทำให้เครื่องต้องทำงานหนัก ทำให้กินไฟมาก
57. เลือกซื้อตู้เย็นประตูเดียว เนื่องจากตู้เย็น 2 ประตู จะกินไฟมากกว่าตู้เย็นประตูเดียวที่มีขนาดเท่ากัน เพราะต้องใช้ท่อน้ำยาทำความเย็นที่ยาวกว่า และใช้คอมเพรสเซอร์ขนาดใหญ่กว่า
58. ควรตั้งสวิตช์ควบคุมอุณหภูมิของตู้เย็นให้เหมาะสม การตั้งที่ตัวเลขต่ำเกินไป อุณหภูมิจะเย็นน้อย ถ้าตั้งที่ตัวเลขสูงเกินไปจะเย็นมากเพื่อให้ประหยัดพลังงานควรตั้งที่เลขต่ำที่มีอุณหภูมิพอเหมาะ
59. ไม่ควรพรมน้ำจนแฉะเวลารีดผ้า เพราะต้องใช้ความร้อนในการรีดมากขึ้น เสียพลังงานมากขึ้น เสียค่าไฟเพิ่มขึ้น
60. ดึงปลั๊กออกก่อนการรีดเสื้อผ้าเสร็จ เพราะความร้อนที่เหลือในเตารีด ยังสามารถรีดต่อได้จนกระทั่งเสร็จ ช่วยประหยัดไฟฟ้า
61. เสียบปลั๊กครั้งเดียว ต้องรีดเสื้อให้เสร็จ ไม่ควรเสียบและถอดปลั๊กเตารีดบ่อยๆ เพราะการทำให้เตารีดร้อนแต่ละครั้งกินไฟมาก
62. ลด ละ เลี่ยง การใส่เสื้อสูท เพราะไม่เหมาะสมกับสภาพอากาศเมืองร้อน สิ้นเปลืองการตัด ซัก รีด และความจำเป็นในการเปิดเครื่องปรับอากาศ
63. ซักผ้าด้วยเครื่อง ควรใส่ผ้าให้เต็มกำลังของเครื่อง เพราะซัก1 ตัวกับซัก 20 ตัว ก็ต้องใช้น้ำในปริมาณเท่าๆ กัน
64. ไม่ควรอบผ้าด้วยเครื่อง เมื่อใช้เครื่องซักผ้า เพราะเปลืองไฟมาก ควรตากเสื้อผ้ากับแสงแดดหรือแสงธรรมชาติจะดีกว่า ทั้งยังช่วยประหยัดไฟได้มากกว่า
65. ปิดโทรทัศน์ทันทีเมื่อไม่มีคนดู เพราะการเปิดทิ้งไว้โดยไม่มีคนดู เป็นการสิ้นเปลืองไฟฟ้าโดยใช่เหตุ แถมยังต้องซ่อมเร็วอีกด้วย
66. ไม่ควรปรับจอโทรทัศน์ให้สว่างเกินไป และอย่าเปิดโทรทัศน์ให้เสียงดังเกินความจำเป็น เพราเปลืองไฟ ทำให้อายุเครื่องสั้นลงด้วย
67. อยู่บ้านเดียวกัน ดูโทรทัศน์รายการเดียวกัน ก็ควรจะดูเครื่องเดียวกัน ไม่ใช่ดูคนละเครื่อง คนละห้อง เพราะจะทำให้สิ้นเปลืองพลังงาน
68. เช็ดผมให้แห้งก่อนเป่าผมทุกครั้ง ใช้เครื่องเป่าผมสำหรับแต่งทรงผม ไม่ควรใช้ทำให้ผมแห้ง เพราะต้องเป่านาน เปลืองไฟฟ้า
69. ใช้เตาแก๊สหุงต้มอาหาร ประหยัดกว่าใช้เตาไฟฟ้า เตาอบไฟฟ้าและควรติดตั้งวาล์วนิรภัย (Safety Value) เพื่อความปลอดภัยด้วย
70. เวลาหุงต้มอาหารด้วยเตาไฟฟ้า ควรจะปิดเตาก่อนอาหารสุก5 นาที เพราะความร้อนที่เตาจะร้อนต่ออีกอย่างน้อย 5 นาทีเพียงพอที่จะทำให้อาหารสุกได้
71. อย่าเสียบปลั๊กหม้อหุงข้าวไว้ เพราะระบบอุ่นจะทำงานตลอดเวลา ทำให้สิ้นเปลืองไฟเกินความจำเป็น
72. กาต้มน้ำไฟฟ้า ต้องดึงปลั๊กออกทันทีเมื่อน้ำเดือด อย่าเสียบไฟไว้เมื่อไม่มีคนอยู่ เพราะนอกจากจะไม่ประหยัดพลังงานแล้วยังอาจทำให้เกิดไฟไหม้ได้
73. แยกสวิตช์ไฟออกจากกัน ให้สามารถเปิดปิดได้เฉพาะจุด ไม่ใช้ปุ่มเดียวเปิดปิดทั้งชั้น ทำให้เกิดการสิ้นเปลืองและสูญเปล่า
74. หลีกเลี่ยงการติดตั้งอุปกรณ์ไฟฟ้า ที่ต้องมีการปล่อยความร้อนเช่น กาต้มน้ำ หม้อหุงต้ม ไว้ในห้องที่มีเครื่องปรับอากาศ
75. ซ่อมบำรุงอุปกรณ์ไฟฟ้าให้อยู่ในสภาพที่ใช้งานได้ และหมั่นทำความสะอาดเครื่องใช้ไฟฟ้าอยู่เสมอ จะทำให้ลดการสิ้นเปลืองไฟได้
76. อย่าเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ถ้าไม่ใช้งาน ติดตั้งระบบลดกระแสไฟฟ้าเข้าเครื่องเมื่อพักการทำงาน จะประหยัดไฟได้ร้อยละ 35-40และถ้าหากปิดหน้าจอทันทีเมื่อไม่ใช้งาน จะประหยัดไฟได้ร้อยละ 60
77. ดูสัญลักษณ์ Energy Star ก่อนเลือกซื้ออุปกรณ์สำนักงาน(เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ เครื่องโทรสาร เครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเครื่องถ่ายเอกสาร ฯลฯ) ซึ่งจะช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้กำลังไฟฟ้า เพราะจะมีระบบประหยัดไฟฟ้าอัตโนมัติ

วิธีประหยัดน้ำ
78. ใช้น้ำอย่างประหยัด หมั่นตรวจสอบการรั่วไหลของน้ำ เพื่อลดการสูญเสียน้ำอย่างเปล่าประโยชน์
79. ไม่ควรปล่อยให้น้ำไหลตลอดเวลาตอนล้างหน้า แปรงฟัน โกนหนวด และถูสบู่ตอนอาบน้ำ เพราะจะสูญน้ำไปโดยเปล่าประโยชน์ นาทีละหลายๆ ลิตร
80. ใช้สบู่เหลวแทนสบู่ก้อนเวลาล้างมือ เพราะการใช้สบู่ก้อนล้างมือจะใช้เวลามากกว่าการใช้สบู่เหลว และการใช้สบู่เหลวที่ไม่เข้มข้น จะใช้น้ำน้อยกว่าการล้างมือด้วยสบู่เหลวเข้มข้น
81. ซักผ้าด้วยมือ ควรรองน้ำใส่กาละมังแค่พอใช้ อย่าเปิดน้ำไหลทิ้งไว้ตลอดเวลาซัก เพราะสิ้นเปลืองกว่าการซักโดยวิธีการขังน้ำไว้ในกาละมัง
82. ใช้ Sprinkler หรือฝักบัวรดน้ำต้นไม้แทนการฉีดน้ำด้วยสายยาง จะประหยัดน้ำได้มากกว่า
83. ไม่ควรใช้สายยางและเปิดน้ำไหลตลอดเวลาในขณะที่ล้างรถเพราะจะใช้น้ำมากถึง 400 ลิตร แต่ถ้าล้างด้วยน้ำและฟองน้ำในกระป๋องหรือภาชนะบรรจุน้ำ จะลดการใช้น้ำได้มากถึง 300 ลิตรต่อการล้างหนึ่งครั้ง
84. ไม่ควรล้างรถบ่อยครั้งจนเกินไป เพราะนอกจากจะมีความสิ้นเปลืองน้ำแล้ว ยังทำให้เกิดสนิมที่ตัวถังได้ด้วย
85. ตรวจสอบท่อน้ำรั่วภายในบ้าน ด้วยการปิดก๊อกน้ำทุกตัวภายในบ้าน หลังจากทีทุกคนเข้านอน (หรือเวลาที่แน่ใจว่า ไม่มีใครใช้น้ำระยะหนึ่ง จดหมายเลขวัดน้ำไว้ ถ้าตอนเช้ามาตรเคลื่อนที่โดยที่ยังไม่มีใครเปิดน้ำใช้ ก็เรียกช่างมาตรวจซ่อมได้เลย)
86. ควรล้างพืชผักและผลไม้ในอ่างหรือภาชนะที่มีการกักเก็บน้ำไว้เพียงพอ เพราะการล้างด้วยน้ำที่ไหลจากก๊อกน้ำโดยตรง จะใช้น้ำมากกว่า การล้างด้วยน้ำที่บรรจุไว้ในภาชนะถึงร้อยละ 50
87. ตรวจสอบชักโครกว่ามีจุดรั่วซึมหรือไม่ ให้ลองหยดสีผสมอาหารลงในถังพักน้ำ แล้วสังเกตดูที่คอห่าน หากมีน้ำสีลงมาโดยที่ไม่ได้กดชักโครก ให้รีบจัดการซ่อมได้เลย
88. ไม่ใช้ชักโครกเป็นที่ทิ้งเศษอาหาร กระดาษ สารเคมีทุกชนิดเพราะจะทำให้สูญเสียน้ำจากการชักโครก เพื่อไล่สิ่งของลงท่อ
89. ใช้อุปกรณ์ประหยัดน้ำ เช่น ชักโครกประหยัดน้ำ ฝักบัวประหยัดน้ำ ก๊อกประหยัดน้ำ หัวฉีดประหยัดน้ำ เป็นต้น
90. ติด Areator หรือ อุปกรณ์เติมอากาศที่หัวก๊อก เพื่อช่วยเพิ่มอากาศให้แก่น้ำที่ไหลออกจากหัวก๊อก ลดปริมาณการไหลของน้ำ ช่วยประหยัดน้ำ
91. ไม่ควรรดน้ำต้นไม้ตอนแดดจัด เพราะน้ำจะระเหยหมดไปเปล่าๆ ให้รดตอนเช้าที่อากาศยังเย็นอยู่ การระเหยจะต่ำกว่าช่วยให้ประหยัดน้ำ
92. อย่าทิ้งน้ำดื่มที่เหลือในแก้วโดยไม่เกิดประโยชน์อันใด ใช้รดน้ำต้นไม้ ใช้ชำระพื้นผิว ใช้ชำระความสะอาดสิ่งต่างๆ ได้อีกมาก
93. ควรใช้เหยือกน้ำกับแก้วเปล่าในการบริการน้ำดื่ม และให้ผู้ที่ต้องการดื่มรินน้ำดื่มเอง และควรดื่มให้หมดทุกครั้ง
94. ล้างจานในภาชนะที่ขังน้ำไว้ จะประหยัดน้ำได้มากกว่าการล้างจานด้วยวิธีที่ปล่อยให้น้ำไหลจากก๊อกน้ำตลอดเวลา
95. ติดตั้งระบบน้ำให้สามารถใช้ประโยชน์จากการเก็บและจ่ายน้ำตามแรงโน้มถ่วงของโลก เพื่อหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานไปสูบและจ่ายน้ำภายในอาคาร

วิธีประหยัดพลังงานอื่นๆ
96. อย่าใช้กระดาษหน้าเดียวทิ้ง ให้ใช้กระดาษอย่างคุ้มค่าใช้ทั้งสองหน้า ให้นึกเสมอว่า กระดาษแต่ละแผ่นย่อมหมายถึงต้นไม้หนึ่งต้นที่ต้องเสียไป
97. ในสำนักงานให้ใช้การส่งเอกสารต่อๆ กัน แทนการสำเนาเอกสารหลายๆ ชุด เพื่อประหยัดกระดาษ ประหยัดพลังงาน
98. ลดการสูญเสียกระดาษเพิ่มมากขึ้น ด้วยการหลีกเลี่ยงการใช้กระดาษปะหน้าโทรสาร ชนิดเต็มแผ่น และหันมาใช้กระดาษขนาดเล็ก ที่สามารถตัดพับบนโทรสารได้ง่าย
99. ใช้การส่งผ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆ ผ่านระบบคอมพิวเตอร์ โดยโมเด็ม หรือแผ่นดิสก์ แทนการส่งข่าวสารข้อมูลโดยเอกสาร ช่วยลดขั้นตอนการทำงาน ลดการใช้พลังงานได้มาก
100. หลีกเลี่ยงการใช้จานกระดาษ แก้วน้ำกระดาษ เวลาจัดงานสังสรรค์ต่างๆ เพราะสิ้นเปลืองพลังงานในการผลิต
101. รู้จักแยกแยะประเภทขยะ เพื่อช่วยลดขั้นตอน และลดพลังงานในการทำลายขยะ และทำให้ขยะทั้งหลายง่ายต่อการกำจัด
102. หนังสือพิมพ์อ่านเสร็จแล้วอย่าทิ้ง ให้เก็บไว้ขาย หรือพับถุง เก็บไว้ทำอะไรอย่างอื่น ใช้ซ้ำทุกครั้งถ้าทำได้ ช่วยลดการใช้พลังงานในการผลิต
103. ขึ้นลงชั้นเดียวหรือสองชั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ลิฟท์ จำไว้เสมอว่าการกดลิฟท์แต่ละครั้ง สูญเสียพลังงานถึง 7 บาท
104. งด เลิก บริโภคผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วทิ้งเลย เพราะเป็นการสิ้นเปลืองพลังงานในการผลิต ใช้ทรัพยากรธรรมชาติสิ้นเปลือง เพิ่มปริมาณขยะ เปลืองพลังงานในการกำจัดขยะ
105. ลดการใช้ผลิตภัณฑ์ ที่มีบรรจุภัณฑ์ที่ยากต่อการทำลาย เช่น โฟม หรือพลาสติก ควรเลือกใช้บรรจุภัณฑ์ที่นำกลับมาใช้ใหม่ได้ (Reuse) หรือนำไปผ่านกระบวนการผลิตมาใช้ใหม่ได้ (Recycle)
106. สนับสนุนสินค้าที่มีบรรจุภัณฑ์ เป็นวัสดุที่สามารถนำมาผ่านกระบวนการนำมาใช้ใหม่ (Recycle) เช่น แก้ว กระดาษ โลหะ พลาสติกบางประเภท โดยจัดให้มีการแยกขยะในครัวเรือนและในสำนักงาน
107. ให้ความร่วมมือ สนับสนุน หรือเข้าร่วมกิจกรรมกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน ที่รณรงค์ส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์พลังงาน
108. กระตุ้นเตือนให้ผู้อื่นช่วยกันประหยัดพลังงาน โดยการติดสัญลักษณ์ หรือเครื่องหมายให้ช่วยประหยัดไฟ ตรงบริเวณใกล้สวิทช์ไฟ เพื่อเตือนให้ปิดเมื่อเลิกใช้แล้ว

-------------------- เป็นวิธีที่ไม่ยุ่งยากเลยนะคะ หากเราจะทำ นอกจากช่วยโลกของเราแล้ว ยังสามารถช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าของเราอีกด้วยนะคะ ----------------------

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551

** ภาวะโลกร้อน **





ภาวะโลกร้อน (Global Warming)
ภาวะโลกร้อน (Global Warming) หรือ ภาวะภูมิอากาศเปลี่ยนแปลง (Climate Change) เป็นปัญหาใหญ่ของโลกเราในปัจจุบัน สังเกตได้จาก อุณหภูมิ ของโลกที่สูงขึ้นเรื่อยๆ สาเหตุหลักของปัญหานี้ มาจาก ก๊าซเรือนกระจก ค่ะ (Greenhouse gases)
ปรากฏการณ์เรือนกระจก มีความสำคัญกับโลก เพราะก๊าซจำพวก คาร์บอนไดออกไซด์ หรือ มีเทน จะกักเก็บความร้อนบางส่วนไว้ในในโลก ไม่ให้สะท้อนกลับสู่บรรยากาศทั้งหมด มิฉะนั้น โลกจะกลายเป็นแบบดวงจันทร์ ที่ตอนกลางคืนหนาวจัด (และ ตอนกลางวันร้อนจัด เพราะไม่มีบรรยากาศ กรองพลังงาน จาก ดวงอาทิตย์) ซึ่งการทำให้โลกอุ่นขึ้นเช่นนี้ คล้ายกับหลักการของ เรือนกระจก (ที่ใช้ปลูกพืช) จึงเรียกว่า ปรากฏการณ์เรือนกระจก (Greenhouse Effect) ค่ะ
แต่การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของ CO2 ที่ออกมาจาก โรงงานอุตสาหกรรม รถยนต์ หรือการกระทำใดๆที่เผา เชื้อเพลิงฟอสซิล (เช่น ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ หรือ สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ) ส่งผลให้ระดับปริมาณ CO2 ในปัจจุบันสูงเกิน 300 ppm (300 ส่วน ใน ล้านส่วน) เป็นครั้งแรกในรอบกว่า 6 แสนปี
ซึ่ง คาร์บอนไดออกไซด์ ที่มากขึ้นนี้ ได้เพิ่มการกักเก็บความร้อนไว้ในโลกของเรามากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดเป็น ภาวะโลกร้อน ดังเช่นปัจจุบัน
ภาวะโลกร้อนภายในช่วง 10 ปีนับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2533 มานี้ ได้มีการบันทึกถึงปีที่มีอากาศร้อนที่สุดถึง 3 ปีคือ ปี พ.ศ. 2533, พ.ศ.2538 และปี พ.ศ. 2540 แม้ว่าพยากรณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังมีความไม่แน่นอนหลายประการ แต่การถกเถียงวิพากษ์วิจารณ์ได้เปลี่ยนหัวข้อจากคำถามที่ว่า "โลกกำลังร้อนขึ้นจริงหรือ" เป็น "ผลกระทบจากการที่โลกร้อนขึ้นจะส่งผลร้ายแรง และต่อเนื่องต่อสิ่งที่มีชีวิตในโลกอย่างไร" ดังนั้น ยิ่งเราประวิงเวลาลงมือกระทำการแก้ไขออกไปเพียงใด ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะยิ่งร้ายแรงมากขึ้นเท่านั้น และบุคคลที่จะได้รับผลกระทบมากที่สุดก็คือ ลูกหลานของพวกเราเอง



ผลกระทบจากสภาวะโลกร้อน
แม้ว่าโดยเฉลี่ยแล้วอุณหภูมิของโลกจะเพิ่มขึ้นไม่มากนัก แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อเป็นทอด ๆ และจะมีผลกระทบกับโลกในที่สุด ขณะนี้ผลกระทบดังกล่าวเริ่มปรากฏให้เห็นแล้วทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ การละลายของน้ำแข็งทั่วโลก ทั้งที่เป็นธารน้ำแข็ง (glaciers) แหล่งน้ำแข็งบริเวณขั้วโลก และในกรีนแลนด์ซึ่งจัดว่าเป็นแหล่งน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก น้ำแข็งที่ละลายนี้จะไปเพิ่มปริมาณน้ำในมหาสมุทร เมื่อประกอบกับอุณหภูมิเฉลี่ยของน้ำสูงขึ้น น้ำก็จะมีการขยายตัวร่วมด้วย ทำให้ปริมาณน้ำในมหาสมุทรทั่วโลกเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นมาก ส่งผลให้เมืองสำคัญ ๆ ที่อยู่ริมมหาสมุทรตกอยู่ใต้ระดับน้ำทะเลทันที
มีการคาดการณ์ว่า หากน้ำแข็งดังกล่าวละลายหมด จะทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 6-8 เมตรทีเดียว
ผลกระทบที่เริ่มเห็นได้อีกประการหนึ่งคือ การเกิดพายุหมุนที่มีความถี่มากขึ้น และมีความรุนแรงมากขึ้นด้วย ดังเราจะเห็นได้จากข่าวพายุเฮอริเคนที่พัดเข้าถล่มสหรัฐหลายลูกในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา แต่ละลูกก็สร้างความเสียหายในระดับหายนะทั้งสิ้น สาเหตุอาจอธิบายได้ในแง่พลังงาน กล่าวคือ เมื่อมหาสมุทรมีอุณหภูมิสูงขึ้น พลังงานที่พายุได้รับก็มากขึ้นไปด้วย ส่งผลให้พายุมีความรุนแรงกว่าที่เคย
นอกจากนั้น สภาวะโลกร้อนยังส่งผลให้บางบริเวณในโลกประสบกับสภาวะแห้งแล้งอย่างอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น ขณะนี้ได้เกิดสภาวะโลกร้อนรุนแรงขึ้นอีกเนื่องจากต้นไม้ในป่าที่เคยทำหน้าที่ดูดกลืนแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ล้มตายลงเนื่องจากขาดน้ำ นอกจากจะไม่ดูดกลืนแก๊สต่อไปแล้ว ยังปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาจากกระบวนการย่อยสลายด้วย และยังมีสัญญาณเตือนจากภัยธรรมชาติอื่น ๆ อีกมา ซึ่งหากเราสังเกตดี ๆ จะพบว่าเป็นผลจากสภาวะนี้ไม่น้อย



การแก้ปัญหาโลกร้อน
เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงว่าเราคงไม่อาจหยุดยั้งสภาวะโลกร้อนที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตได้ ถึงแม้ว่าเราจะหยุดผลิตแก๊สเรือนกระจกโดยสิ้นเชิงตั้งแต่บัดนี้ เพราะโลกเปรียบเสมือนเครื่องจักรขนาดใหญ่ที่มีกลไกเล็ก ๆ จำนวนมากทำงานประสานกัน การตอบสนองที่มีต่อการกระตุ้นต่าง ๆ จะต้องใช้เวลานานกว่าจะกลับเข้าสู่สภาวะสมดุล และแน่นอนว่า สภาวะสมดุลอันใหม่ที่จะเกิดขึ้นย่อมจะแตกต่างจากสภาวะปัจจุบันอย่างมาก
แต่เราก็ยังสามารถบรรเทาผลอันร้ายแรงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตเพื่อให้ความรุนแรงลดลงอยู่ในระดับที่พอจะรับมือได้ และอาจจะชะลอปรากฏการณ์โลกร้อนให้ช้าลง กินเวลานานขึ้น สิ่งที่เราพอจะทำ
ได้ตอนนี้คือพยายามลดการผลิตแก๊สเรือนกระจกลง และเนื่องจากเรา ทราบว่าแก๊สดังกล่าวมาจากกระบวนการใช้พลังงาน การะประหยัดพลังงานจึงเป็นแนวทางหนึ่งในการลดอัตราการเกิดสภาวะโลกร้อนไปในตัว

++++++ ยังไงก็ฝากดูแลโลกของเราด้วยนะคะ ดูแลให้ดี เพื่อโลกที่น่าอยู่++++++

ข้อความจาก Pennapa

------------------- ขออภัยที่ไม่ได้เข้ามาเพิ่มข้อมูลในบล็อกค่ะ ----------------------

พอดีช่วงนี้ คิดสอบเลยไม่ค่อยมีเวลาเข้ามา อัพเดทบล็อก ต้องขออภัยอย่างมากนะคะที่หายไป

หวังว่าผู้ชมทุกท่านคงไม่โกรธกันนะคะ แล้วจะหาเวลาเข้ามาอัพบล็อกบ่อยๆ นะคะ

และ ขอให้ผู้ชมทุกท่านแสดงความคิดเห็นในบทความด้วยนะคะ จะได้ทราบว่าบทความที่หามานั้น ถูกใจรึเปล่า

ยังไงก็ของฝากบล็อกด้วยนะคะ

------------------------ ------------ขอบคุณค่ะ-----------------------------------------------

วันพฤหัสบดีที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2551

สัญญาณเตือนให้รู้ว่า........คุณโสดนานเกินไปแล้ว



คุณเริ่ม รู้สึกว่าตัวเองเป็นโสดนานเกินไปแล้วรึยัง? หากท่านใดไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นงี้ไหม งั้นมามะ มาดูสิว่า มีสัญญาณเตือนให้รู้ว่า คุณเป็นโสดนานไปแล้วนะ ดังนี้......
1. ขาดความมั่นใจในตัวเองเวลาอยู่ท่ามกลางเพศตรงข้ามบ้างมั้ย ?เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเดินผ่านหรือหลุดเข้าไปอยู่ในดงที่มีคนหน้าตาดี๊ดี แถมสามารถทำให้หัวใจดวงน้อยๆของคุณสั่นไหวได้ละก็ แทนที่คุณจะเข้าไปตีซี้ ทำความรู้จักเพื่อสานต่อความสัมพันธ์ด้วย แต่เปล่าเลย คุณกลับเขินหลบหน้าหลบตา ไม่กล้าสู้หน้ากับ 'คนที่ควรชักชวนมารักกัน ' นี่แหละคือสัญญาณ อ.ต.ร. (อันตราย) ล่ะว่า คุณอยู่เป็นโสดนานจนไม่รู้ควรทำตัวอย่างไรกับ 'ว่าที่หวานใจ ' น่ะสิ
ทว่า คนที่ใจกล้าหน้าด้านปรี่เข้าไปจะฉกผัวเขา...เอ้ย ...ฉกคนที่คุณสนใจแต่เผอิญเค้าควงแฟนมาด้วย โดยไม่สนว่าคนนั้นชอบคุณด้วยรึเปล่า แถมไม่เกรงใจแฟนเค้าอีก ก็เป็นการกระทำที่ห้าว (และคงแห้ว) ไปนะ แค่มั่นใจในตัวเองระดับปานกลางพอแล้ว ไม่ควร ' มั่น' ซะจนทำอะไรห่ามๆร้อก
2. ติดนิสัยตามใจปาก เวลาอยู่ต่อหน้าคนอื่นๆเพราะอยู่ตัวคนเดียวมากไป ดังนั้น เวลาถูกชวนหรือคุณไปชวนใครทานอาหารก่อนก็เหอะ แต่พอถึงร้าน แทนที่คุณจะแสดงความสุภาพและให้ความสำคัญกับใครคนนั้น ด้วยการให้เค้าเป็นฝ่ายเลือกรายการอาหารที่จะสั่งก่อน หรือเทน้ำให้เค้าดื่ม ก่อนเทให้ตัวเอง แต่คุณสิ กลับไม่มีมารยาทเวลาอยู่บนโต๊ะอาหารเอาซะเลย แถมยังกินมูมมาม ชนิดไม่สนอิมเมจ (ภาพพจน์) ของตัวเองสักกะติ๊ด งั้นกลับไปติวมารยาทซะใหม่แล้วค่อยกลับมาลงสนามรักต่อ...ดีกว่านะ
3. มัวเอนจอยกับสัตว์ เลี้ยง หรืองานอดิเรก จนไม่สนที่จะมีแฟนเพราะลืมไปแล้วว่าจะบริหารเสน่ห์ของตัวเองยังไงให้ใครๆสนน่ะสิ เช่น ออกไปสังสรรค์ปาร์ตี้กับเพื่อนๆ ที่ครั้งนึงคุณเคยหมกตัวอยู่กับก๊วนจอมซี้เหล่านี้ แทนจับเจ่าอยู่กับเจ้าตูบแสนซื่อ และแมวจอมประจบแต่ในบ้าน หรือไม่งั้นก็ติดละครหลังข่าว , รายการแข่งขันประกวดร้องเพลงที่ฮิตจัดกันเหลือเกิน รวมทั้งหนังซีรีส์ทางเคเบิลทีวี จนไม่ยอมพลาดละก็ นี่แหละแสดงว่า เป็นโสดนานจนฝุ่นจับแล้วนะยะ

4. แม้จีบใครได้สักคน คุณก็แค่คิดว่าเป็นกิ๊กคลายเหงาเท่านั้น ไม่ได้คิดจริงจังอะไรด้วย ( เอ๊ะ หรืออีกฝ่ายไม่อยากจริงจังด้วยก็บอกมาซะดีๆ โธ่ทำแก้ตัวไปงั้น) ถึงออกลีลาจีบใครสักคนมาเป็นกิ๊ก ( ชนิดว่าชอบมากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่รัก) ได้ แต่คุณดันทำให้ ความสัมพันธ์ครั้งนี้เดินอยู่กะที่ซะงั้น ไม่ยอมพัฒนาความสัมพันธ์ให้ก้าวหน้ามากกว่าที่เป็นอยู่ ปัดโธ่ ขืนเป็น ' โสดไม่ยอมเปลี่ยนแปลง' นานๆเข้า คุณยิ่งไม่กระตือรือร้นเลื่อนฐานะจากกิ๊กมาเป็นแฟนกันให้รู้แล้วรู้แรด (แรดน่ะทำเป็นแต่แฟนเหรอ แปลว่าอะไรน้อ) จึงทำให้ไม่มีแฟนถาวร เป็นแค่กิ๊กประเภทอยากเจอก็โทร.ไปนัดมาพบ ถ้าอยากคุยก็คุยกันทางโทรศัพท์ แถมยังทำงี้กับเค้าในเวลาที่ตัวเองต้องการเท่านั้นซะด้วย โดยไม่สนเค้าอยากคุยด้วยรึเปล่า แต่จะตื๊อให้คุยมีไรป่ะ ไม่รู้จักเจ้าแม่ซะแล้ว
5. ติดเพื่อนเกินกว่าจะหาแฟนมาเป็น 'คนรู้ใจ' เคยชินกับการอยู่ท่ามกลางเพื่อนๆมาตลอดชีวิตนี่หว่า แล้วจะดิ้นรนหาแฟนไปทำมั้ย เวลาอยู่กะเพื่อน คุณทำอะไรก็ได้ ทำตัวสบายๆ ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องเครียด ไม่ต้องเหนื่อยคอยประจบประแจงเอาใจใคร แหม้...ง่ายกว่าการอยู่กะแฟนตั้งเยอะ แถมอยู่กับเพื่อนยังไม่ต้องวางฟอร์มหรือเก๊กท่าด้วย
6. คบคนสะเปะสะปะ และสับสนระหว่างการคบแบบเป็นคู่รัก กับคบแบบแค่รู้จักน่ะต่างกันอย่างไร ? เอ้าจะให้แยกคนทั้งสองกลุ่มนี้ออกจากกันได้ไง ในเมื่อคุณอยู่คนเดียวมานานจนลืมไปแล้วว่า เวลาเจอ 'คนที่ใช่' แล้วจะทำให้เค้ารู้ว่า เค้าคือ ' หนึ่งเดียวคนนี้ของคุณ' ได้อย่างไร...นี่สิน่าคิด เคยเห็นคนโสดบางรายพอเจอใครที่ตัวเองติดตาต้องใจปุ๊บ พอผ่านด่านทำความรู้จักกันได้ แต่ก็กลับแป้ก ไม่ สามารถทำให้เค้ารู้ใจจริงของคุณสักทีก็มี จึงติดแหง็ก อยู่แค่การเป็นคนรู้จักนั่นแหละ ทั้งที่อีกฝ่ายเตรียมยินยอมพร้อมใจแล้วเชียวนะ เชอะยังบื้อใบ้อยู่ได้

วิธีการทำสเต็กให้อร่อย


สเต็กเป็นอาหารของชาวตะวันตก แต่ถ้าให้พูดกันจริงๆผมว่ามันเป็นอาหารของทุกชาติมากกว่า เพราะการนำเนื้อสัตว์มาย่างหรือทอดนี่ ทุกชาติทุกภาษาเขาทำกันมานานแล้วล่ะครับ เพียงแต่ส่วนประสม เครื่องเทศ วิธีทำให้สุกและกระบวนการหมักต่างกัน และเนื้อสัตว์ที่ใช้ก็ต่างกันไปด้วย สเต็ก มันมีหลายแบบครับ อย่างสเต็กแบบยุโรป เขาก็จะทานเนื้อกันอย่างเดียว อาจจะมีมันฝรั่งบดอยู่เล็กน้อย สเต็กแบบอเมริกันก็จะมีมันฝรั่งทอดให้แกล้ม สเต็กแบบบราซิเรี่ยนหรือแบบละตินก็จะมีผลไม้ให้ทานด้วย และสเต็กแบบตะวันออกกลางเขาทานคู่กับข้าวเลย ส่วนสลัดผักมักจะเป็นอาหารจานเสริมเข้ามาครับ ไม่ค่อยอยู่ร่วมกับจานหลัก เรามาดูถึงการเลือกเนื้อสัตว์ในการทำสเต็กกันครับว่าเราจะใช้เนื้ออะไรทำดี เนื้อสัตว์แต่ละชนิดจะใช้เวลาสุกแตกต่างกัน เช่น เนื้อแกะ เนื้อแพะ เนื้อหมู เนื้อไก่ จะใช้เวลาไกล้เคียงกันคือ ประมาณ 30 นาที สำหรับไฟปานกลาง 10-15 นาที สำหรับไฟแรง ครับ เนื้อปลา ใช้เวลาสุกประมาณ 10-15 นาที สำหรับไฟปานกลาง หรือ 5-10 นาที สำหรับไฟแรง ส่วนใหญ่ที่คุณๆเห็นเขานำเนื้อมาทำสเต็ก เขาจะให้ส่วนสันใน หรือสันนอกกัน อันเนื่องมาจากได้เนื้อที่นุ่มกว่าส่วนอื่น (ชึ่งอันนี้ผมเห็นว่ามันขึ้นอยู่กับการหมักและการทำให้กล้ามเนื้อมันฉีกขาดก่อนนำมาหมักซะมากกว่าครับ) เช่นสเต็กในสูตร ยุโรป แต่ผมมีสเต็กในสูตรอื่นๆครับที่ใช้เนื้อส่วนอื่นทำ เช่น สูตรบราซิเรี่ยน (ต้องแท้ๆนะครับ) จะใช้เนื้อส่วนสะโพก ส่วนหัวไหล่ เพราะจะได้ความรู้สึกของเนื้อจริงๆ ส่วนสเต็กของตะวันออกกลางก็ใช้เนื้อแพะ เนื้อแกะ เพราะมันเป็นสัตว์ที่ใช้กินเนื้อของเขา (น่านตอบแบบนี้ไม่ตอบดีกว่าไหม) แต่ถ้าสเต็กของชาวนิวซีแลนด์ ออสเตเรีย ก็จะเป็นพวกเปิบเนื้อพิสดารครับ เช่นเนื้อกวาง เนื้อจระเข้ เนื้อจิงโจ้ เนื่องจากสัตว์พวกนี้มีประมาณมากเลยนำมาทำเป็นอาหาร (ในสมัยก่อนนะครับ แต่ตอนนี้เขามีฟาร์มสำหรับเลี้ยงไว้เพื่อเป็นอาหารเลย) ต่อไปมาดูการแล่เนื้อ (เอาเกลือทา ฮาๆๆๆ) กันครับ ถ้าเป็นเนื้อส่วนสันในหรือสันนอกนี่ เนื้อที่เขาแล่มาแล้วจะเป็นแท่งๆครับ เราสามารถหั่นให้เป็นแว่นๆได้สบายๆ ความหนาของเนื้อที่เราหั่นควรจะมีความหนาอยู่ในช่วง 1-2 ซ.ม. ครับ ทำไมหรือครับ เพราะเนื้อจะได้สุกถึงข้างใน ใช้เวลาน้อย เครื่องเทศที่หมักจะซึมเข้าถึงไปทั่วไงล่ะครับ แต่ถ้าเป็นเนื้อสะโพก เนื้อหัวไหล่ เขาจะแล่มาเป็นก้อนๆครับ เราก็ใช้มีดหั่นตามที่ได้บอกไว้ข้างต้น แต่ที่สำคัญมีดในการหั่นต้องเป็นมีดที่เขาใช้แล่เนื้อและต้องมีความคมมากถึงจะทำให้เนื้อที่หั่นไม่เป็นริ้ว (แต่คนทางแถบอเมริกา อเมริกาใต้หรือคนทางตะวันออกกลางเขาจะเอาเนื้อมาเสียบไม้แล้วก็ย่างก่อนพอจะทานถึงจะหั่นออกมากินจะได้ไม่ลำบาก) เมื่อหั่นเนื้อแล้วก็จะมาทำการหมักกันแล้วครับ ส่วนใหญ่แล้วเครื่องเทศเครื่องปรุงจะมี พริกไทย เกลือ น้ำตาล น้ำมัน ซอสต่างๆ เครื่องเทศ (สำหรับบางสูตร) หัวหอม (สำหรับบางสูตร) กระเทียม (สำหรับบางสูตร) เป็นส่วนประกอบหลักๆครับ (คุณลองเลือกไปใช้ดู หรือ มั่วสูตรรวมเลยก็ได้นะครับ ตามถนัด) ส่วนการทำอย่างไรให้เนื้อนุ่ม มันก็มีอยู่หลายสูตรครับ บ้างก็ว่าให้ใส่นมเข้าไป บ้างก็ให้บีบมะนาว บ้างก็ใส่น้ำส้มสายชู ซึ่งมันก็ไม่ผิดครับ แต่ก่อนที่จะใส่ทั้งหมดนี่เข้าไป ผมขอให้คุณๆ ใช้ค้อนทุบเนื้อ หรือส้อม หรือมีด จิ้มเนื้อเข้าไปครับ ยิ่งพรุนยิ่งดี เพราะจะทำให้ส่วนประสมในการหมักซึมเข้าได้มากแล้วก็ได้เนื้อนุ่มๆด้วย เวลาในการหมักบ้างก็ว่า ครึ่งชั่วโมง พอแล้ว บ้างก็ว่า 2 ชั่วโมงกำลังดี บ้างก็ว่าค้างคืนนี่แหละดีสุด แต่ผมคิดว่ามันน่าจะขึ้นกับประมาณของส่วนประสมครับ ถ้าส่วนประสมในการหมักมาก ก็ใช้เวลาหมักน้อย และถ้าส่วนประสมในการหมักน้อยการหมักก็ใช้เวลานาน อันนี้คุณๆลองคำนวณดูนะครับ สำหรับผมคิดการหมักน่าจะอยู่ในช่วง 1-2 ชั่วโมงครับ ส่วนน้ำในการหมักที่เหลืออย่าเพิ่งทิ้งครับ นำมาต้มในข้นแล้วประสมกับน้ำมันที่ออกมาจากการที่เราย่างหรือทอดเนื้อจะได้รสชาดแบบอย่าบอกใครเชียว การย่างหรือทอด การย่างหรือทอดสเต็ก เป็นเรื่องสำคัญอยู่เหมือนกันครับ เพราะแต่ละคนย่อมชอบไม่เหมือนกัน บางคนก็ชอบสุกเต็มที่ บางคนก็ชอบแบบครึ่งๆกลางๆ บางคนก็ชอบแบบดิบๆ (น่ากลัว) นั้นขึ้นอยู่กับการตั้งไฟนะครับ ส่วนเราจะย่างหรือทอดอย่างไรให้อร่อย มันมีวิธี เช่นถ้าทอด ก็ใส่น้ำมันในกระทะ เล็กน้อย (เล็กน้อยจริงๆครับ เพราะด้วยน้ำมันจะเนื้อจะออกมาเอง) เวลาทอดก็ใช้ตะหลิว กดเนื้อให้แนบติดกับกระทะให้มากที่สุด (ไม่ต้องใช้แรงกดมากนะครับ เดี๋ยวเนื้อจะติดกระทะซะก่อน) เพื่อทำให้สุกถึงข้างใน พอสุกก็พลิกอีกด้านแล้วก็ทำเหมือนเดิมครับ ถ้าเป็นการย่างผมแนะนำให้ใช้เตาที่มีไฟให้เห็น (พวกเตาแก็สหรือเตาถ่านถ้ามีนะครับ อาหารย่างจะอร่อยมาก) และก็ใช้ไม้กดในเนื้อติดตะแกรง จะได้มีรอยไหม้ขึ้นมา และพยายามอย่าพลิกไปพลิกมานะครับ เพราะรอยที่ผมบอกมันจะมากเกินไป เดี๋ยวเนื้อจะไม่สวยเวลาทาน (ถ้าอยากให้รอยไหม้เป็นแบบตระข่ายก็ให้ย่างไปสัก 2-3 นาทีสำหรับไฟแรง แล้วให้หันเนื้อทำมุมสัก 45 องศาครับ คราวนี้ได้ตะข่ายติดเนื้อย่างสวยๆเป็นแน่ๆครับ) เอาล่ะครับก็ผ่านไปสำหรับเรื่องของสเต็กในหลายๆแบบ ผมหวังความคงจะได้อะไรดีๆไปใช้กันนะครับ ผมยังมีน้ำสลัดอร่อยๆในลักษณะที่แหลกแนวมาฝาก ก็ขอให้ติดตามกันไปแล้วกันนะครับ

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551

เรื่องน่ารู้ กับการกำจัดไวรัส

วิธีการกำจัดไวรัส imagexx.zip (w32.MSN.worm)
ความจริงแล้วจะเรียกเจ้านี่ว่าไวรัสก็คงไม่ถูกนัก เนื่องจากความจริงแล้วมันเป็นหนอน (worm) ในระบบคอมพิวเตอร์ตัวหนึ่งครับ ติดไปก็ไม่มีอะไรมาก นอกจากจะก่อให้เกิดความรำคาญ แต่ในบางครั้งเจ้าหนอนตัวนี้อาจจะก่อให้เกิดความเสียหายให้กับ Windows เนื่องจากจะเข้าไปแก้ไจค่า registry ของเครื่อง (เข้าใจว่า เข้าไปเปลี่ยนทางให้เครื่องเรียกให้หนอนทำงาน แล้วหนอนก็ไปเรียก msn อีกที แทนที่จะเรียก msn โดยตรง) ความเสียหายอยู่ในระดับที่ใหญ่หลวงนัก หากท่านใช้ msn เป็นโปรแกรมหากิน ความจริงแล้วเราจะไม่ติดเลยนะครับ หาเราสังเกตุข้อความ หรือว่าไฟล์ดีๆ ฟังก์ชันที่ให้รับไฟล์อัตโนมัติของ plus! ก็ปิดซะ จะส่งไฟล์ที่ก็บอกเพื่อนก่อน นัดแนะกันให้เข้าใจก่อน จะได้ไม่พลาดท่าเสียที่เจ้าหนอนตัวนี้เข้าหนทางรอดมีอยู่หลายทางครับ เริ่มจากทางที่ขุรขระหน่อยแล้วกันวิธีแรก เป็นวิธีเดิมๆ ที่แก้จากต้นเหตุด้วยมือผู้ใช้เอง ความจริงก็มีมานานแล้วแต่ไม่ค่อยมีใครสนใจอ่านกันซักเท่าไหร่ เริ่มด้วย
กด 3 ปุ่มมหัศจรรย์ (ctrl + alt + delete) เรียก task manager ขึ้นมา
หาโปรเซสที่ชื่อว่า winlog32.exe ในแทปโปรเซส ถ้ามีก็ปิดมันไปซะครับ (ถ้าไม่มีก็อย่าพึ่งปลาบปลืมไป เพราะว่านั่นเป็นเพราะเรายังไมได้เปิด msn ขึ้นมาทำมาหากิน)
กด Start -> Run (ปุ่ม Windows + R) พิมพ์ msconfig
ที่ Start up หาคำว่า Winlog32.exe เอาเครื่องหมายถูกออก OK ยังไม่ต้องรีสตาร์ท
หาไฟล์ที่ชื่อ winlog32.* ในเครื่อง แล้วลบออกให้หมด แล้ว restart เป็นอันเสร็จ
วิธีนี้แนะนำให้ทำให้ safe mode แต่ว่าจะทำใน mode ปกติก็ไม่ว่ากันวิธีที่สอง เป็นวิธีที่สะดวกหน่อย สำหรับคนที่ไม่อยากทำอะไรแบบข้างบนมาก เพียงแต่ต้องโหลดโปรแกรมมาช่วย
โหลดโปรแกรมนี้มาก่อน อันใดอันหนึ่งหรือว่าทั้งสองไฟล์เลยก็ได้เพื่อความชัวร์
msn_worm_killer
MSNWin32-IRCBot.zip
กระจายไฟล์ไปยังที่ชอบๆ จะพบกับไฟล์โปรแกรมด้านในจัดการ ดับเบิ้ลคลิ้กแล้ว OKๆ Nextๆ ไป โปรแกรมก็จะบอกว่าทำงานเสร็จแล้ว เท่านี้ก็เป็นอันเสร็จ
สุดท้ายก็ Restart เครื่องซักรอบ เอาฤกษ์ เอาชัย เท่านี้เจ้าหนอนตัวนี้ก็จะหายหน้าหายตาไปแล้ว


ขอขอบคุณบทความที่น่ารู้นี้ จาก
sitdh.blogspot.com

วันศุกร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2551

ข้อคิดอาหารชีวจิต

อาหารแนวชีวจิต

ชีวจิต คือ เป็นวิถีการดำรงชีวิตและการบริโภคที่เน้นความเป็นธรรมชาติ มีพื้นฐานมาจากวิถีชีวิตแบบแมคโครไบโอติค ซึ่งมีการดัดแปลงให้สอดคล้องกับความเป็นอยู่แบบไทยๆ อาหารชีวจิต เป็นการบริโภคพืชผัก ธัญพืชไม่ขัดสี ผักผลไม้สดตามฤดูกาลไม่ผ่านการปรุงแต่งพืชหัวไม่ปอกเปลือก ดื่มน้ำสะอาดและชาสมุนไพรหรือน้ำผลไม้ งดเนื้อสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นปลาและอาหารทะเลบริโภคได้เป็นครั้งคราว งดน้ำตาลฟอกขาว กะทิ นม และไข่ การดำรงชีวิต อยู่ในที่อากาศบริสุทธิ์ไม่แออัด มีชีวิตเรียบง่าย ออกกำลังกายสม่ำเสมอ มีชีวิตที่ยัดธรรมชาติเป็นหลัก มีการฝึกสมาธิเป็นประจำ โดยภาพรวมแล้ว การปฏิบัติตามแนวชีวจิตจะมุ่งเน้นความมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ และเข้าใกล้ธรรมชาติมากที่สุด


อาหารชีวจิต มีการแบ่งสัดส่วนของอาหารกลุ่มต่าง ๆ
อาหารประเภทข้าว - แป้งไม่ขัดสี ร้อยละ 50 ในกลุ่มนี้นอกจากจะให้คาร์โบไฮเดรตซึ่งเป็นสาร อาหารหลักแล้ว ยังให้ใยอาหาร วิตามินและแร่ธาตุมากกว่าการกินข้าวขัดสี


กลุ่มผัก มีการแนะนำให้กินผักในสัดส่วนร้อยละ 25 และเป็นผักสดกับผักสุกอย่างละครึ่ง

กลุ่มถั่ว ซึ่งให้โปรตีนเป็นหลัก กลุ่มนี้ก็เหมือนกับอาหารมังสวิรัติ แมคโครไบโอติคและเจคือได้ โปรตีนจากถั่วเหลือง ถั่วแดง ถั่วดำ ถั่วลิสง และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้อาหารในกลุ่มนี้แนะนำให้ บริโภคในสัดส่วนร้อยละ 15 อาหารโปรตีนได้เสริมจากปลาและอาหารทะเล สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง เป็นการเสริมคุณภาพโปรตีนที่ได้จากพืช และเป็นแหล่งไอโอดีนด้วย


อาหารอื่น ๆ เช่น ผลไม้ เมล็ดพืช เช่น เมล็ดทานตะวัน เมล็ดฟักทอง งา แนะนำให้บริโภคร้อยละ 10 อาหารที่แนะนำให้งด ได้แก่ เนื้อสัตว์ (ยกเว้นปลา และอาหารทะเล) ไข่ นม เนย กะทิ ธัญพืชและแป้งขัดขาวทุกชนิดรวมถึงขนมหวานต่าง ๆ

วันพฤหัสบดีที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2551

Tips ในการประหยัดเงิน

1) ชื้อของราคาแพง แต่ลดราคา
2) อย่าซื้อของเพื่อจำเป็น
3) ของฟุ่มเฟือยอย่าซื้อทันที
4) ใช้บัตรเครดิตให้เป็น
5) รู้จักใช้ เพื่อรู้จักค่าของเงิน
6) บริหารภาษี

เคล็ดลับการบริหารการเงิน

การบริหารการเงินส่วนบุคคล
1. ทำไมต้องวางแผนทางการเงิน (การออม)
เนื่องจากในช่วงอายุที่สูงขึ้นนั้น คือช่วงอายุของการทำงาน จะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น และรายได้ก็จะเพิ่มตาม แต่เมื่อถึงวัยเกษียณรายได้ก็จะลดลง แต่รายจ่ายจะเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นจึงต้องมีการวางแผนทางการเงินตั้งแต่เมื่อเริ่มหาเงินได้ เพื่อเป็นการออมเงินไว้ใช้ในวัยเกษียณ
2. เงินออมมาจากไหน (รายได้-รายจ่าย)
การตั้งเป้าเมื่อทำงาน จะทำให้เรามีเงินออม เราจะต้องมีรายได้ให้พอกับค่าใช้จ่าย
3. ทำอย่างไรถึงจะมีเงินออม
รายได้เพิ่มขึ้น และ รายจ่ายลดลงจะทำให้เกิดเงินออม คือ เราจะต้องสร้างรายได้ให้มาก และลดรายจ่ายจะทำให้เกิดเงินออม ยิ่งมีรายได้มากก็แสดงว่า เราจะมีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่ควรที่จะใช้จ่ายให้น้อยกว่ารายได้เพื่อที่จะได่มีเงินออม
4. การเพิ่มรายได้
- ตั้งเป้าหมาย
- รักในงาน
- เปิดโอกาส /หาโอกาสให้ตนเอง
5. การลดรายจ่าย
- การทำบัญชีครัวเรือน คือ การบันทึกรายรับรายจ่ายของแต่ละวัน และมีการประหยัดในสิ่งที่ควรประหยัด
- เศรษฐกิจพอเพียง คือ ใช้จ่ายให้ฟุ่มเฟือยได้แต่ต้องเหมาะสมกับฐานะของตน
- วินัยกับนิสัย